Key Takeaway
- เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) คืออุปกรณ์ที่ใช้ชาร์จพลังงานให้กับรถยนต์ไฟฟ้า มีความสำคัญที่ให้พลังงานไฟฟ้าแก่รถยนต์ เพื่อให้สามารถใช้รถยนต์ได้อย่างต่อเนื่อง
- เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือเครื่องชาร์จไฟฟ้า AC (กระแสสลับ) และเครื่องชาร์จไฟฟ้า DC (กระแสตรง)
- วิธีเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้เหมาะสมควรพิจารณาจากประเภทของรถยนต์ ความเร็วในการชาร์จ ตำแหน่งและวิธีการติดตั้ง รวมถึงความคุ้มค่าในระยะยาว
- การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านให้ได้มาตรฐานควรเปลี่ยนมิเตอร์ภายในบ้านให้เหมาะสมเปลี่ยนสายเมนและลูกเซอร์กิต (MCB) ตรวจสอบตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว และติดตั้งเต้ารับที่มีมาตรฐาน
ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ามีความนิยมมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้รถน้ำมันเปลี่ยนมาใช้รถรถยนต์ไฟฟ้าแทน เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานและช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จึงทำให้เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่ต้องการของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยนวัตกรรมเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะเปลี่ยนอนาคตการเดินทางให้สะดวกสบายมากขึ้น
ในบทความนี้มาแนะนำวิธีเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับการใช้งาน และแนะนำหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีทั้งหมดกี่แบบ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกเครื่องชาร์จที่ตอบโจทย์ความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่า

รู้จักเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร?
เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า คืออุปกรณ์หรือเครื่องชาร์จไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีการเชื่อมต่อกับแหล่งจ่ายไฟฟ้า ทั้งระบบไฟฟ้าภายในบ้านหรือสถานีชาร์จสาธารณะ โดยความสำคัญของเครื่องชาร์จไฟฟ้าคือการจ่ายกระแสไฟให้กับรถยนต์ไฟฟ้า และช่วยควบคุมการจ่ายพลังงานให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่ เพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่เสียหายจากการชาร์จที่มากหรือน้อยเกินไป

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท
เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
เครื่องชาร์จแบบ AC (กระแสสลับ)
เครื่องชาร์จไฟฟ้าแบบ AC คือการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นกระแสไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าภายในบ้านทั่วไป โดยจ่ายไฟผ่านตู้ชาร์จติดผนังติดตั้งที่บ้านอย่าง Wallbox หรือ Wall Charger มีข้อดีคือใช้งานง่าย หากติดตั้งที่บ้านก็สามารถชาร์จได้ตลอดเวลา แต่อาจใช้เวลาชาร์จนานขึ้นอยู่กับกำลังไฟและขนาดของแบตเตอรี่ อีกทั้งหัวชาร์จรถไฟฟ้าที่นิยมใช้งาน แบ่งได้ 2 แบบ คือ
- หัวชาร์จ Type 1 นิยมใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าของอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น เป็นหัวชาร์จแบบ 5 Pin มีรูปแบบการชาร์จไฟ 1 เฟส จ่ายไฟได้ตั้งแต่ 3.7 kW ถึง 7.4 kW มีระบบการทำงาน คือรับกระแสไฟฟ้าสลับจากเครื่องชาร์จ เข้าสู่ On Board Charger ในรถยนต์ เพื่อแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าตรงเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์
- หัวชาร์จ Type 2 นิยมใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าในแถบยุโรปและในประเทศไทย เป็นหัวชาร์จแบบ 7 Pin มีรูปแบบการชาร์จไฟ 3 เฟส จ่ายไฟได้ตั้งแต่ 11 kW ถึง 22 kW ช่วยให้ชาร์จเร็วกว่าการชาร์จแบบ 1 เฟส มีการทำงานคล้ายกับหัวชาร์จ Type 1 คือรับไฟฟ้ากระแสสลับจากเครื่องชาร์จส่งผ่านไปยัง On Board Charger ของรถยนต์ เพื่อแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าตรงและจ่ายไปเข้าสู่แบตเตอรี่
เครื่องชาร์จแบบ DC (กระแสตรง)
เครื่องชาร์จไฟฟ้าแบบ DC คือการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงที่สามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ภายในรถได้เลย โดยไม่ต้องผ่าน On Board Charger มีข้อดีคือชาร์จเร็ว แต่มีข้อเสียเรื่องสถานที่ชาร์จที่มีให้บริการน้อยกว่า โดยหัวชาร์จรถไฟฟ้า แบ่งได้ 2 แบบ คือ
- หัวชาร์จ CHAdeMO เป็นหัวชาร์จที่พัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มีการใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สำหรับชาร์ตแบตเตอรี่รถยนต์ได้โดยไม่ต้องผ่านการแปลงกระแสไฟฟ้าสลับ (AC) จาก On Board Charger และสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดที่ 50 kW
- หัวชาร์จ CCS (Combo) 2 ถูกพัฒนาขึ้นโดยประเทศจีน รองรับทั้งการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และกระแสสลับ (AC) มีลักษณะคล้ายปลั๊ก Type 2 แต่มีขา 2 ข้าง เพิ่มมาด้านล่างเพื่อใช้ในการชาร์จไฟกระแสตรง

วิธีเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้เหมาะสม
วิธีการเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลต่อกำลังไฟฟ้าภายในบ้านและตัวรถ หากเลือกไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานได้ ดังนั้นจึงควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้
พิจารณากำลังไฟและความเร็วในการชาร์จ
ก่อนการเลือกซื้อเครื่องชาร์จไฟฟ้าควรตรวจสอบสเปกรถยนต์ไฟฟ้าว่ารับกำลังไฟสูงสุดได้เท่าไร ระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นเฟสอะไร จ่ายกำลังไฟสูงสุดได้ที่เท่าไร เพราะเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มีทั้ง 1 เฟสและ 3 เฟส ในแต่ละเฟสสามารถรับกำลังไฟฟ้าได้ 3 ระดับคือ 7 kW, 11 kW และ 22 kW ในแต่ละระดับมีความเร็วในการชาร์จที่ต่างกัน การเลือกกำลังไฟที่เหมาะสมจะช่วยให้ชาร์จเร็วขึ้นและไม่ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าภายในบ้านและรถยนต์
ตำแหน่งและการติดตั้งเครื่องชาร์จ
ไม่ว่าจะติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้าที่บ้านหรือที่ทำงาน ก็ควรติดตั้งในตำแหน่งที่เข้าถึงง่ายและสะดวกต่อการชาร์จ เช่น โรงจอดรถหรือใกล้ที่จอดรถ และควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งในที่แคบ เช่น ใกล้ประตูเข้าออก หรือขวางทางจอดรถ เพราะจะทำให้ต้องเคลื่อนย้ายรถบ่อยจนทำให้ไม่สามารถชาร์จเต็มได้ตามต้องการ ที่สำคัญควรติดตั้งเครื่องชาร์จบนพื้นปูน ผนังปูน หรือพื้นผิวที่มีความแข็งแรงเพื่อป้องกันการล้มที่อาจทำให้เครื่องชาร์จเสียหายได้
ความคุ้มค่าในระยะยาว
การติดเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชาร์จรถยนต์ ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการชาร์จซึ่งอาจส่งผลต่อค่าไฟฟ้าในระยะยาว หากเลือกเครื่องชาร์จที่เหมาะสมกับระบบไฟฟ้า ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุที่แข็งแรง ได้มาตรฐานและมีการรับประกันคุณภาพ ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายทั้งค่าไฟและค่าซ่อมบำรุง ทำให้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น
ฟังก์ชันเพิ่มเติมที่ควรพิจารณา
ควรคำนึงถึงเทคโนโลยีเครื่องชาร์จไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งช่วยให้สะดวกในการใช้งาน เช่น ระบบ Smart Charging หรือความสามารถในการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน อย่างการตั้งเวลาชาร์จ เช็กเปอร์เซ็นต์แบตขณะชาร์จ การแจ้งเตือนสถานะการชาร์จเมื่อชาร์จเสร็จ หรือแจ้งเตือนเมื่อการชาร์จมีปัญหา ช่วยให้สามารถตรวจสอบและควบคุมการทำงานของระบบชาร์จได้ง่ายขึ้น

การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านให้ได้มาตรฐาน
การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งต้องทำความเข้าใจระบบไฟฟ้าภายในบ้านก่อน เพื่อป้องกันการเปิดปัญหาในอนาคต โดยการติดตั้งเครื่องชาร์จให้ได้มาตรฐานสามารถทำได้ตาม 5 ขั้นตอนดังนี้
1. สำรวจมิเตอร์ไฟฟ้าบ้าน
บ้านพักอาศัยทั่วไปจะใช้มิเตอร์ขนาด 15 (45) 1 เฟส (1P) ขนาดการใช้ไฟฟ้าคือขนาด 15 แอมป์ (A) และใช้ไฟได้สูงสุด 45 แอมป์ (A) แต่ผู้ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน ควรเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ให้เป็น 30 (100) เพื่อรองรับการใช้งานไฟฟ้าที่มากขึ้นในการชาร์จรถยนต์
2. เปลี่ยนสายเมนและลูกเซอร์กิต (MCB)
หากสายเมนเดิมมีขนาด 16 ตร.มม. ควรปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นเป็น 25 ตร.มม. เพื่อรองรับการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้นและเปลี่ยนลูกเซอร์กิต (MCB) ที่รองรับกำลังไฟสูงสุด 45 (A) ควรเปลี่ยนเป็นขนาด 100 (A) ทั้งนี้ขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ต้องเข้ากันได้และรองรับการใช้งานไฟฟ้าภายในบ้านด้วย
3. ตรวจสอบตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB)
การติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้าจำเป็นต้องแยกใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ทำให้ต้องติดตั้ง Circuit Breaker สำหรับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อป้องกันปัญหาการโหลดไฟเกิน หากภายในตู้ควบคุมไม่มีช่องว่างก็ควรเพิ่มตู้ควบคุมสำหรับติดตั้งวงจรแยกของเครื่องชาร์จไฟฟ้าโดยเฉพาะ
4. ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD)
เครื่องตัดไฟฟ้ารั่วทำหน้าที่ตัดการจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ไหลออกจากวงจร เพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อตหรือไฟลัดวงจร หากหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าติดตั้งระบบตัดไฟภายในตัวก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วเพิ่ม เพราะระบบตัดไฟรั่วที่มีมากับเครื่องชาร์จก็สามารถป้องกันปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรได้เช่นเดียวกัน
5. ติดตั้งเต้ารับ (EV Socket)
สิ่งสำคัญที่สุดในการคิดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า คือการติดตั้งเต้ารับ โดยเต้ารับต้องมี 3 รู หรือที่เรียกกันว่า สายดิน ที่ช่วยป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วอีกทั้งเต้ารับต้องสามารถรับกระแสไฟฟ้าจากเครื่องชาร์จได้ต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 16 แอมป์ (A) เพื่อให้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องชาร์จสามารถจ่ายไฟไปแบตเตอรี่ได้เพียงพอ
สรุป
เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการพลังงานชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า โดยสามารถแบ่งการชาร์จออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือเครื่องชาร์จไฟฟ้า AC (กระแสสลับ) และเครื่องชาร์จไฟฟ้า DC (กระแสตรง) แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและความเร็วในการชาร์จที่แตกต่างกัน ซึ่งในการเลือกใช้งานเครื่องชาร์จควรพิจารณาจากประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า ความเร็วในการชาร์จที่ต้องการ และระบบไฟฟ้าภายในบ้าน อีกทั้งก่อนการติดตั้งทุกครั้งควรสำรวจระบบการทำงานของระบบไฟฟ้าภายในบ้านให้ครบถ้วน เพื่อให้ใช้งานเครื่องชาร์จและระบบชาร์จต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย
สำหรับคนที่ต้องการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากไฟบ้านในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EWAVE เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้เหมาะกับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการติดตั้งที่มีมาตรฐานและปลอดภัย ทำให้คุณอุ่นใจทุกการใช้งาน