ก่อนซื้อต้องรู้! รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท และความต่างของแต่ละประเภท
Key Takeaway
- รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) คือรถที่ใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและมอเตอร์ไฟฟ้า ขับเคลื่อนประหยัดพลังงานโดยไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก
- รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เป็นรถพัฒนาจาก HEV สามารถชาร์จไฟจากปลั๊กได้ เพิ่มระยะทางการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้มากขึ้น
- รถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) คือรถใช้ไฟฟ้า 100% ไม่มีเครื่องยนต์น้ำมัน ชาร์จไฟจาก EV Charger และเหมาะกับการขับในเมือง
- รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ใช้ไฮโดรเจนเป็นแหล่งพลังงาน ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเพื่อผลิตไฟฟ้าขับเคลื่อน มลพิษต่ำ ขับทางไกลได้ แต่มีสถานีเติมจำกัด
การทำความเข้าใจว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท ข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละแบบต่างกันอย่างไร รถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานจากอะไร รวมถึงการเลือกรถที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และรูปแบบการขับขี่ของคุณ จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เลือกรถที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง และคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คืออะไร?
รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คือรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เช่น เบนซินหรือดีเซล ทำให้ไม่เกิดการเผาไหม้ ลดการปล่อยควันและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างเงียบ ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท ต่างกันอย่างไรบ้าง
รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันถูกพัฒนาออกมาหลายประเภทเพื่อตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้ขับขี่ หลายคนอาจสงสัยว่ารถไฟฟ้ามีกี่ประเภท ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่

1. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV)
รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) คือรถใช้ไฟฟ้าที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์น้ำมันกับมอเตอร์ไฟฟ้า ภายในมีทั้งเครื่องยนต์ ถังน้ำมัน มอเตอร์ และแบตเตอรี่ไฟฟ้า ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงกว่ารถทั่วไปโดยไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก เพราะมีระบบ Self-Charging ที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานจลน์ขณะขับเคลื่อน เมื่อขับด้วยความเร็วคงที่ เครื่องยนต์และมอเตอร์จะทำงานร่วมกัน ส่วนช่วงเร่งความเร็วจะใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวล ประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยควันไอเสียได้มากขึ้น
ข้อดี
- ประหยัดพลังงานมากกว่ารถยนต์ทั่วไป และช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศได้ในระยะยาว
- ราคาย่อมเยา เข้าถึงได้ง่าย โดยรุ่นเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 700,000-900,000 บาท
- มีตัวเลือกหลากหลายจากแบรนด์ชั้นนำที่หันมาผลิตรถไฟฟ้าไฮบริด (HEV) มากขึ้น ทำให้เลือกซื้อได้สะดวกและมั่นใจในคุณภาพของแบรนด์
ข้อจำกัด
- ไม่สามารถชาร์จไฟฟ้าจากภายนอกได้ เนื่องจากยังต้องพึ่งพาการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อน
- การดูแลรักษาซับซ้อนกว่ารถยนต์ทั่วไป และมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาค่อนข้างสูง

2. รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Vehicle: PHEV)
รถยนต์ไฟฟ้า (PHEV) เป็นรุ่นต่อยอดจาก HEV โดยเพิ่มระบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟเข้ามา แต่ยังคงใช้ระบบคู่ระหว่างเครื่องยนต์น้ำมันและมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานจากทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน สามารถเก็บประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่เพิ่มระยะทางขับขี่ได้มากกว่า HEV และประหยัดพลังงานมากขึ้น
ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับเคลื่อนได้ 2 แบบ คือ Hybrid Mode ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าร่วมกัน หรือ EV Mode ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ใช้การชาร์จไฟจากปลั๊กหรือจุดติดตั้ง EV Charger และหากไม่พบจุดชาร์จ ระบบจะสลับกลับไปใช้โหมดไฮบริดอัตโนมัติ
ข้อดี
- ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเป็นหลัก
- สมรรถนะในการขับขี่มีความเสถียรและราบรื่นมากกว่ารถไฮบริด
- เหมาะกับการใช้งานทุกเส้นทาง ทั้งขับในเมืองที่ต้องการประหยัดเชื้อเพลิง และเดินทางไกลที่อาจหาจุดติดตั้ง EV Charger ได้ยาก
ข้อจำกัด
- ราคาสูง เนื่องจากระบบการทำงานครอบคลุมหลายรูปแบบ ทำให้ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นเพิ่มขึ้น
- ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง เพราะมีอุปกรณ์ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ค่าซ่อมแซมหรือดูแลรักษาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- ระยะขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้ามีจำกัด เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (EV) เนื่องจากแบตเตอรี่มีขนาดเล็กกว่า จึงเหมาะกับการใช้งานระยะสั้นมากกว่า

3. รถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV)
อีกหนึ่งในประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า คือรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) รถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ไม่มีการใช้ระบบน้ำมัน จึงไม่ปล่อยไอเสีย ระบบขับเคลื่อนมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ผู้ขับขี่ต้องชาร์จไฟจากเครื่องชาร์จหรือจุดติดตั้ง EV Charger ภายนอก เมื่อใช้งานกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จะถูกนำมาควบคุมมอเตอร์เพื่อขับเคลื่อนรถ
ข้อดี
- ไม่สร้างมลพิษทางอากาศ ใช้พลังงานสะอาด
- ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เพราะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว
- สามารถชาร์จไฟฟ้าจาก EV Charger ที่ติดตั้งในบ้านได้สะดวก
ข้อจำกัด
- ระยะขับขี่จำกัด หากเดินทางไกลต้องวางแผนล่วงหน้าเพื่อหาสถานี EV Charger ระหว่างเส้นทาง
- หลายรุ่นมีราคาสูง เมื่อเทียบกับการใช้งานที่เหมาะกับการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก
- ยังมีความกังวลเรื่องการจัดการแบตเตอรี่ในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมได้

4. รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle: FCEV)
รถใช้ไฟฟ้าประเภทสุดท้ายคือ FCEV (Fuel Cell Electric Vehicle) หรือรถไฮโดรเจน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง โดยต้องเติมไฮโดรเจนจากภายนอก ทำให้มีความจุพลังงานสูงกว่าแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้าทั่วไป แต่ปัจจุบันยังมีตัวเลือกจำกัดและต้องพัฒนาต่อไป ซึ่งระบบของ FCEV ใช้ก๊าซไฮโดรเจนทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถ ซึ่งการเติมไฮโดรเจนยังจำกัดเฉพาะสถานีที่ให้บริการเท่านั้น
ข้อดี
- ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง เพราะใช้ไฮโดรเจนเป็นพลังงานหลักในการขับเคลื่อน
- ขับเคลื่อนได้ในระยะทางไกลกว่ารถยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น
- ใช้เวลาในการเติมพลังงานสั้นกว่าแบตเตอรี่รถไฟฟ้า
ข้อจำกัด
- ราคาสูง เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่ทันสมัยและใหม่มาก
- ตัวเลือกจำกัด ปัจจุบันมีรถ FCEV เพียงไม่กี่รุ่น
- จำนวนสถานีเติมไฮโดรเจนยังมีน้อย ทำให้การเติมพลังงานสะดวกน้อยกว่า
สรุป
ปัจจุบันหลายคนอาจสงสัยว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท คำตอบคือมีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ HEV, PHEV, BEV และ FCEV แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ทั้งเรื่องความประหยัดพลังงาน ความสะดวกในการชาร์จ ระยะขับขี่ และค่าใช้จ่าย รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม HEV และ PHEV เหมาะกับการใช้งานแบบผสมระหว่างน้ำมันและไฟฟ้า ส่วน BEV ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เหมาะกับการขับในเมือง ขณะที่ FCEV ใช้ไฮโดรเจนเป็นพลังงาน ชาร์จเร็วและขับทางไกลได้ แต่มีตัวเลือกและสถานีเติมจำกัด สำหรับผู้สนใจติดตั้งระบบชาร์จไฟฟ้า EWAVE มีทั้ง ที่ชาร์จรถไฟฟ้าและโซลาร์เซลล์สำหรับที่ชาร์จรถไฟฟ้า ช่วยให้การใช้ EV ของคุณสะดวก ประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรถใช้ไฟฟ้า (FAQ)
มาดูคำถามที่ผู้คนมักสงสัยเกี่ยวกับรถไฟฟ้า เพื่อช่วยให้เข้าใจระบบ การใช้งาน และข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าต่างๆ จากนั้นสามารถนำข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น
รถใช้ไฟฟ้าทำงานอย่างไร แบ่งออกเป็นกี่ขั้นตอน
รถใช้ไฟฟ้าทำงานโดยดึงพลังงานจากแบตเตอรี่ไปเลี้ยงมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งขับเคลื่อนล้อให้รถเดินหน้า แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก คือ
- ชาร์จไฟเก็บในแบตเตอรี่
- แปลงพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานกลผ่านมอเตอร์
- ขับเคลื่อนล้อและควบคุมการทำงานของรถ
รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน ต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดอย่างไร
ความแตกต่างคือรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอินสามารถชาร์จไฟจากภายนอกได้ เพิ่มระยะทางขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้มากกว่า ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด ใช้ระบบ Self-Charging ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานจลน์ของรถและไม่สามารถชาร์จจากปลั๊กภายนอกได้ ทั้งสองแบบยังคงใช้เครื่องยนต์น้ำมันร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แต่รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอินเหมาะกับการขับขี่ระยะไกลและประหยัดพลังงานมากกว่า
รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง ใช้อะไรเป็นแหล่งพลังงาน
รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง ใช้ก๊าซไฮโดรเจนเป็นแหล่งพลังงานหลัก โดยไฮโดรเจนจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าขับเคลื่อนมอเตอร์ของรถ ทำให้เป็นรถไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยไอเสีย แต่อาศัยสถานีเติมไฮโดรเจนในการเติมพลังงานจากภายนอก