โซลาร์เซลล์

Power Factor คืออะไร? ทำไมสำคัญต่อการประหยัดไฟและลดค่าไฟ

Power Factor คืออะไร? ทำไมสำคัญต่อการประหยัดไฟและลดค่าไฟ
Table of Contents

    Key Takeaway

    • Power Factor (PF) คือค่าแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานจริง (kW) กับกำลังไฟฟ้าที่ปรากฏ (kVA) ในระบบไฟฟ้ายิ่งค่า PF ใกล้ 1 ยิ่งแสดงถึงการใช้งานพลังงานไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพสูง
    • ค่า Power Factor สำคัญต่อระบบไฟฟ้าเพราะช่วยให้การใช้งานพลังงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดการสูญเสียพลังงานในสายไฟและอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้า
    • โหลดที่ส่งผลต่อค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ ได้แก่ โหลดความต้านทาน (Resistive Load) ที่มีค่า Power Factor เท่ากับ 1 และโหลดตัวเหนี่ยวนำ (Inductive Load) หรือโหลดตัวเก็บประจุ (Capacitive Load) ที่ทำให้ค่า Power Factor ต่ำกว่าหนึ่ง
    • การปรับค่า Power Factor สามารถทำได้โดยการใช้ Capacitor Bank หรือโหลดตัวเก็บประจุ เพื่อเพิ่มค่า Power Factor หรือใช้เครื่องปรับค่า Power Factor (Power Factor Correction Devices) เพื่อปรับปรุงการใช้งานพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ

    ก่อนที่เราจะเข้าใจถึงวิธีการประหยัดพลังงานและลดค่าไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าทั้งในบ้านและธุรกิจต่างๆ สิ่งแรกที่ควรทำความเข้าใจก็คือ Power Factor หรือค่ากำลังไฟฟ้าคืออะไร และทำไมถึงมีความสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างคุ้มค่าและลดค่าใช้จ่าย

    ค่า Power Factor คืออะไร

    ค่า Power Factor คืออะไร

    Power Factor หรือค่าพาวเวอร์แฟคเตอร์ คือความสัมพันธ์ระหว่างกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานจริง (Active Power) และกำลังไฟฟ้าที่ปรากฏ (Apparent Power) ในระบบไฟฟ้ากระแสสลับ (AC)

    โดยกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานจริงคือพลังงานที่ถูกใช้โดยอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น หลอดไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนกำลังไฟฟ้าที่ปรากฏคือผลรวมของกำลังที่ใช้งานจริง และกำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการสร้างสนามแม่เหล็ก หรือจัดเก็บพลังงาน (Reactive Power) ซึ่งไม่ถูกใช้งานโดยตรง

    ค่า Power Factor จะเป็นอัตราส่วนระหว่างกำลังที่ใช้งานจริงกับกำลังไฟฟ้าที่ปรากฏ และมักจะแทนด้วย cos(θ) ซึ่งค่าจะไม่เกิน 1 โดยค่าที่สูงกว่าแสดงถึงการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ความสำคัญของ Power Factor ต่อระบบไฟฟ้า

    ความสำคัญของ Power Factor ต่อระบบไฟฟ้า

    ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ (cos(θ)) มีผลต่อค่าใช้จ่ายและประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า หากค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ต่ำอาจทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานในสายไฟและหม้อแปลงมากขึ้น และทำให้มอเตอร์ทำงานได้ไม่เต็มที่ ในทางตรงกันข้ามหากค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์สูง ระบบไฟฟ้าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และค่าใช้จ่ายจะลดลง ดังนั้น การปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์จึงสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบไฟฟ้าและควบคุมค่าใช้จ่าย

    วิธีคิดค่า Power Factor ด้วยสูตรคำนวณ

    วิธีคิดค่า Power Factor ด้วยสูตรคำนวณ

    สูตรคำนวณค่า Power Factor (PF) ในระบบไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) คือ

    Power Factor (PF) = กำลังไฟฟ้าจริง (Active Power, P) / กำลังงานที่ปรากฏ (Apparent Power, S)

    โดยแต่ละสัญลักษณ์มีความหมายดังนี้

    • Power Factor (PF) คือค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์มีค่าระหว่าง 0 ถึง 1
    • กำลังไฟฟ้าจริง (Active Power, P) คือกำลังที่จ่ายให้กับอุปกรณ์และเป็นพลังงานที่ใช้ได้จริง โดยใช้หน่วยเป็นวัตต์ (W)
    • กำลังงานที่ปรากฏ (Apparent Power, S) คือผลรวมของกำลังไฟฟ้าจริงและกำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการสร้างสนามแม่เหล็กหรือเก็บพลังงานในระบบไฟฟ้า โดยใช้หน่วยเป็น วีเอ (VA) หรือ โวลต์-แอมป์
    โหลด R, L และ C ส่งผลต่อค่า Power Factor อย่างไร?

    โหลด R, L และ C ส่งผลต่อค่า Power Factor อย่างไร?

    นอกจากค่าพาวเวอร์แฟคเตอร์ที่คำนวณจากกำลังไฟฟ้าจริงและกำลังงานที่ปรากฏแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถส่งผลต่อค่า Power Factor เช่น

    โหลด R (ความต้านทาน)

    โหลด R คือโหลดที่มีความต้านทาน เช่น หลอดไฟฟ้าแบบไส้ เตารีด หม้อหุงข้าว หรือเครื่องทำน้ำอุ่น จะทำให้ค่า Power Factor เท่ากับ 1 เพราะกระแสและแรงดันมีมุมเฟสทางไฟฟ้าเดียวกัน ไม่เกิดการสูญเสียพลังงานรีแอคทีฟในระบบ

    โหลด L (ตัวเหนี่ยวนำ)

    ตัวเหนี่ยวนำเป็นโหลดที่ทำให้ค่า Power Factor ต่ำกว่า 1 เช่น มอเตอร์ เครื่องปรับอากาศ หรือบัลลาสต์หลอดฟลูออเรสเซนต์ จะทำให้ค่า Power Factor ต่ำกว่า 1 เพราะกระแสล้าหลังแรงดัน 90° ซึ่งเรียกว่า Power Factor Lagging หรือล้าหลัง และเกิดมุมเฟสทางไฟฟ้าที่ต่างกัน

    โหลด C (ตัวเก็บประจุ)

    ตัวเก็บประจุเป็นโหลดที่ทำให้ค่า Power Factor ต่ำกว่า 1 เช่นกัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้ Capacitor Bank กระแสจะนำหน้าแรงดัน 90° หรือเกิดมุมเฟสทางไฟฟ้าที่ต่างกัน ซึ่งเรียกว่า Power Factor Leading (พาวเวอร์แฟคเตอร์นำหน้า) 

    ขั้นตอนการเช็กค่าปรับ Power Factor ในบิลค่าไฟฟ้า

    ขั้นตอนการเช็กค่าปรับ Power Factor ในบิลค่าไฟฟ้า

    ก่อนที่จะเช็กค่าปรับ เราต้องเข้าใจก่อนว่าประเภทผู้ใช้ไฟฟ้ามีความสำคัญในการกำหนดอัตราค่าปรับ ซึ่งสามารถแบ่งผู้ใช้ไฟฟ้าออกเป็น 8 ประเภท ดังนี้

    1. บ้านพักที่อยู่อาศัย
    2. กิจการหรือธุรกิจขนาดเล็ก
    3. กิจการหรือธุรกิจขนาดกลาง
    4. กิจการหรือธุรกิจขนาดใหญ่
    5. กิจการหรือธุรกิจเฉพาะทาง
    6. ราชการและองค์กรไม่แสวงหากำไร
    7. การสูบน้ำเพื่อการเกษตร
    8. ผู้ที่ใช้ไฟฟ้าชั่วคราว

    สูตรหาค่าปรับ Power Factor

    บิลค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ในประเภทที่ 3 ถึง 7 จะมีการปรับค่า Power Factor หากค่า Power Factor ต่ำกว่าค่าที่กำหนดไว้ในแต่ละประเภทการใช้งาน ซึ่งการปรับนี้จะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายไฟฟ้าในบิล สามารถคำนวณค่าปรับ PF ด้วยสูตรดังนี้

    ค่าปรับ PF = (ค่ากิโลวาร์ − (ค่ากิโลวัตต์ × 61.97/100)) × 56.07

    ยกตัวอย่างเช่น หากบิลค่าไฟฟ้าของโรงงานอุตสาหกรรมแสดงว่าต้องเสียค่าปรับ Power Factor ทั้งโรงงานเป็นจำนวน 11,087.91 บาท + VAT โดยระบบไฟฟ้าของโรงงานมีค่า Power Factor ต่ำกว่า 0.85 การคำนวณค่านี้จะใช้ค่ากิโลวัตต์ (kW) ที่สูงสุด และค่ากิโลวาร์ (kVAR) ในการคำนวณค่าปรับ ดังนี้

    • ค่ากิโลวาร์ (kVAR) = 511.20 kVAR
    • ค่ากิโลวัตต์ (kW) = 487.20 kW

    แทนค่าในสูตรการคำนวณค่าปรับ Power Factor ได้เป็น

    • คำนวณค่ากิโลวัตต์ × 61.97/100 = 487.20 × 61.97/100 = 302.88
    • หาค่ากิโลวาร์ − (ค่ากิโลวัตต์ × 61.97/100) = 511.20 − 302.88 = 208.32
    • คูณด้วย 56.07 = 208.32 × 56.07 = 11,687.91 บาท

    ดังนั้น ค่าปรับ Power Factor จะเท่ากับ 11,687.91 บาท (ไม่รวม VAT)

    ปรับปรุงค่า Power Factor ด้วยการกำหนด Capacitor

    ปรับปรุงค่า Power Factor ด้วยการกำหนด Capacitor

    คาปาซิเตอร์ (Capacitor) เป็นอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้าที่ช่วยปรับปรุงค่า Power Factor (PF) โดยการลดกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (Reactive Power) ซึ่งช่วยให้ Power Factor ใกล้เคียงหรือเท่ากับ 1.0 ซึ่งเป็นค่าที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานพลังงานไฟฟ้า 

    ซึ่งคาปาซิเตอร์มีหลายขนาดและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของระบบไฟฟ้าและผู้ใช้งาน โดยต้องเลือกขนาดให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน และตัวแปรที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในระบบไฟฟ้า ดังนี้

    • kVAR (kilo Volt-Ampere Reactive) คือหน่วยของกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟที่คาปาซิเตอร์จะเพิ่มหรือลด (สัญลักษณ์ kVAR)
    • kW (kilo Watt) คือหน่วยของกำลังไฟฟ้าจริงที่ระบบไฟฟ้าใช้ (สัญลักษณ์ kW)
    • θ (theta) คือมุมระหว่างกำลังไฟฟ้าจริง (kW) และกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (kVAR) ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเภทของกำลังไฟฟ้า

    สูตรหาความสัมพันธ์ระหว่าง kVAR, kW, และ θ 

    kVAR = kW x tan(θ)

    ค่า kVAR จะบ่งบอกปริมาณกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟที่ต้องใช้เพิ่มหรือลดโดยการใช้คาปาซิเตอร์ เพื่อปรับค่า Power Factor ให้มีค่าใกล้เคียงกับ 1 (เพาเวอร์แฟคเตอร์สูง) ซึ่งจะช่วยให้การใช้งานระบบไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดค่าใช้จ่ายในการใช้งาน โดยการลดมุม θ ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างกำลังไฟฟ้าจริง (kW) และกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (kVAR) จนค่า θ เข้าใกล้ศูนย์

    สรุป

    Power Factor (PF) คือค่าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกำลังไฟฟ้าจริง (kW) และกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (kVAR) ในระบบไฟฟ้า ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้พลังงาน หากค่า PF สูง ระบบจะใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับ Power Factor ให้สูงจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดค่าไฟฟ้าได้

    แต่ถ้าติดตั้งโซลาร์เซลล์จาก Ewave ก็จะเป็นวิธีง่ายๆ ในการลดค่าไฟฟ้า โดยไม่ต้องคำนวณหรือปรับค่า Power Factor อะไรให้ยุ่งยาก เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว